รีวิว Lambretta X200 2024
ทางเลือกใหม่ สำหรับสายสกู๊ตเตอร์อิตาลี by Autospinn
Lambretta X200 ยกระดับความนุ่มนวลของรถสกู๊ตเตอร์สไตล์พรีเมี่ยมคลาสสิกไปอีกขั้น ด้วยพิกัดใหม่ขนาด 200cc มาพร้อมกับราคาแนะนำที่ 134,900 บาท
LAMBRETTA คือแบรนด์รถสกู๊ตเตอร์ จากประเทศอิตาลี ก่อตั้งโดยคุณ Ferdinando Innocenti ในปี ค.ศ. 1947 ช่วงหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี จากเดิมที่เป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินรายใหญ่ในสมัยนั้น แปรผันมาเป็นแบรนด์สกู๊ตเตอร์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 76 ปี โดยเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้นั่นคืองานดีไซน์ของตัวรถที่ดูพรีเมี่ยม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชวนให้ทุกคนเหลียวมอง
โดยในยุคแรกของ Lambretta ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลก มีไอเดียในการสร้างยานพาหนะจากชิ้นส่วนของเครื่องบินที่ยังเหลืออยู่ จึงรวบรวมทีมวิศวกรฝีมือดีที่มีผลงานการออกแบบเครื่องบินอย่างมากมาย มาร่วมกันวิจัยและพัฒนาโครงสร้างตัวรถ จึงเกิดมาเป็นรถสกู๊ตเตอร์ LAMBRETTA
จุดเด่นของรถสกู๊ตเตอร์ LAMBRETTA นั่นคือความเป็นของแรร์ น่าสะสม ยิ่งรถมีอายุ สภาพสมบูรณ์ ยิ่งมีมูลค่า โดยปัจจุบันรุ่นรถที่ปีลึกๆ มักจะเป็นที่ต้องการของนักสะสม และเหล่าคนเล่นรถที่ใฝ่ฝันอยากครอบครองสักครั้ง โดยเฉพาะรถที่มีเรื่องราวอาทิเช่น รถที่ผลิตจากประเทศอิตาลี, รถที่ผลิตออกมาจำนวนจำกัด กระทั่งรุ่นพิเศษต่างๆ หากสภาพดี ทุกอย่างเดิมสนิท เรียกได้ว่าราคาจำหน่ายต่อมีหลักหลายแสนบาทจนถึงแตะหลักล้านบาทกันเลยทีเดียว
โดยผู้ที่เล่นรถสกู๊ตเตอร์แลมเบรตต้า จะมีชื่อเรียกว่า “Lambrettista (แลมเบรตติสต้า) เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า ผู้ที่หลงไหลในความเป็นแลมเบรตต้า
Lambretta X200 2024
สานต่อความสำเร็จของ Lambretta X300 รุ่นพี่ แต่มาในพิกัดใหม่เพื่อตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบรถสกู๊ตเตอร์แบบพรีเมี่ยมคลาสสิก แต่ก็ชื่นชอบเรื่องของการขับขี่แบบนุ่มนวลด้วย ไม่ได้ต้องการความแรงมากมายนัก ประกอบกับยังคงได้อุปกรณ์ต่างๆ เหมือนกับรุ่น X300 SR รุ่นปี 2024 ทุกประการ แตกต่างกันเฉพาะเรื่องของเครื่องยนต์เท่านั้น
และแน่นอนว่า การมาของNew X200 ถือว่าเอาใจสาย New Entry ที่อยากขยับขึ้นมาเล่นรถสกู๊ตเตอร์พรีเมียมจากอิตาลี ในราคาค่าตัวที่เฟรนลี่มากยิ่งขึ้น ด้วยราคาเปิดตัวที่ 134,900 บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษฉลองครบรอบ 76 ปี เพียงแค่จองรถ New X200 ผ่านช่องทางออนไลน์ ก็รับข้อเสนอเดียวกันกับงาน Motor Expo รวมมูลค่ากว่า 9,000 บาท!
การออกแบบ
มาในคอนเซปต์ ‘I Know What I Want’ ถือเป็นโมเดลฉลองครบรอบ 76 ปี กับรูปทรง Diamond lines ของการออกแบบเส้นสายบนตัวรถ ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ LAMBRETTA ด้วยงานดีไซน์สไตล์อิตาเลียน ที่ใช้แนวคิดแห่งอนาคตในการออกแบบให้มีความล้ำสมัยระดับไฮเอนด์ แต่ยังคงกลิ่นอายและ DNA อันเป็นเอกลักษณ์ของ LAMBRETTA ที่มีมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างลงตัวด้วยรูปแบบ Low and Long
สำหรับสีที่อยู่กับเราวันนี้คือสี Limoncello Yellow อันเป็นสีสันใหม่ของตระกูล X200
ไฟหน้า ใช้เป็นไฟหน้า LED เต็มระบบทั้งไฟสูงและไฟต่ำในโคม 6 เหลี่ยม อันเป็นเอกลักษณะของแบรนด์ LAMBRETTA อีกทั้งยังมีการใส่ชื่อของแบรนด์เอาไว้ที่ภายในโคมไฟหน้าด้วย ส่วนตัวไฟเลี้ยวแบบ LED ติดตั้งอยู่ที่ด้านข้างของชุดหน้าตัวรถ มาพร้อมกับโลโก้ของแบรนด์ และชื่อรุ่นรถติดตั้งอยู่ที่ด้านหน้าด้วยเช่นกัน
ไฟหน้า ใช้เป็นไฟหน้า LED เต็มระบบทั้งไฟสูงและไฟต่ำในโคม 6 เหลี่ยม อันเป็นเอกลักษณะของแบรนด์ LAMBRETTA อีกทั้งยังมีการใส่ชื่อของแบรนด์เอาไว้ที่ภายในโคมไฟหน้าด้วย ส่วนตัวไฟเลี้ยวแบบ LED ติดตั้งอยู่ที่ด้านข้างของชุดหน้าตัวรถ มาพร้อมกับโลโก้ของแบรนด์ และชื่อรุ่นรถติดตั้งอยู่ที่ด้านหน้าด้วยเช่นกัน
ช่วงล่าง ใช้ช่วงล่างแบบดับเบิ้ลอาร์มลิ้งค์ สามารถปรับพรีโหลดได้ 7 ระดับ ชุดเดียวกับรุ่นพี่ X300 SR 2024 ซึ่งช่วงล่างแบบนี้มีจุดเด่นตรงที่ทำให้รถทรงตัวบนความเร็วสูงได้ดี ด้านระบบเบรกก็จัดเต็มด้วยดิสก์เบรกเดี่ยวพร้อมปั้มเบรก 2 พอต และ ABS ป้องกันล้อล็อก ส่วนล้อใช้เป็นล้ออัลลอยขนาด 12 นิ้ว รัดยางขนาด 120/70 R12 ชนิดไม่มียางในจาก IRC
เรือนไมล์ถูกออกแบบให้มีความร่วมสมัยแต่แฝงด้วยเทคโนโลยีได้อย่างกลมกล่อม โดยใช้เป็นเรือนไมล์ทั้งแบบเข็มและดิจิตอลผสมกันภายในกรอบไมล์ทรง 4 เหลี่ยมดีไซน์คลาสสิก
ด้านบน จะเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ โดยมี Redline อยู่ที่ 8,000 รอบ/นาที ส่วนด้านล่างจะเป็นหน้าจอดิจิตอล บอกข้อมูลการขับขี่อื่นๆ ครบครัน ทั้งมาตรวัดความเร็ว, ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง, อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น, นาฬิกา, จับทริป, มาตรวัดแรงดันแบตเตอรี่ เป็นต้น
ประกับแฮนด์ซ้าย ประกอบด้วยปุ่มเปิด/ปิดไฟสูง ไฟเลี้ยว และแตร
ประกันแฮนด์ขวา ประกอบด้วยปุ่มควบคุมเมนูบนเรือนไมล์, ปุ่มไฟฉุกเฉิน และปุ่มติดเครื่องยนต์
ด้านซ้าย ใต้แฮนด์ สามารถเปิดออกมาได้ โดยจะเป็นช่องเติมน้ำหล่อเย็นของตัวรถ มาพร้อมช่องเสียบ USB-C สำหรับใช้ชาร์จมือถือ ซึ่งจ่ายไฟได้มากถึง 3A ด้วยกัน
ระบบกุญแจ เป็นกุญแจแบบคีย์เลสมัลติฟังก์ชั่น ควบคุมทุกระบบของตัวรถที่บริเวณนี้ จะเปิด/ปิดรถ, ล็อกรถ, เปิดเบาะ ก็ที่ตรงนี้เลย
ครีปด้านข้างของตัวรถ เป็นตำแหน่งของหม้อน้ำที่ติดตั้งอยู่ภายใน ซึ่งมีพัดลมหม้อน้ำมาให้ถึง 2 ตำแหน่งด้วยกัน
เบาะนั่ง เป็นเบาะนั่งตอนเดียว ความสูงจากพื้นอยู่ที่ 790 มม. ผู้ขับขี่มีความสูง 168 ซม. สามารถวางเท้าลงพื้นได้ทั้ง 2 ข้าง
ใต้เบาะนั่ง มีพื้นที่สำหรับเก็บสัมภาระ สามารถเก็บหมวกกันน็อกแบบครึ่งใบได้ ส่วนด้านหลังจะเป็นตำแหน่งของถังน้ำมัน ความจุอยู่ที่ 7.5 ลิตร
พื้นที่วางเท้าเป็นแบบฟลอบอร์ด ขึ้น-ลงรถได้ง่าย และควบคุมรถได้ง่าย
ไฟท้าย ถือเป็นส่วนที่โดดเด่นมากๆ ของรถคันนี้ ด้วยดีไซน์ที่ไม่เหมือนใครในท้องตลาด ดูมีความพรีเมี่ยมเหนือระดับด้วยรูปทรงแท่งคริสตัลที่มีการเพิ่มชั้นด้วยการซ้อมโคมด้านนอกอีกชั้น ตัวไฟเป็นไฟ LED เต็มระบบ มาพร้อมกับระบบ IFS (Integrate-Function Signals) ที่ออกแบบให้ทั้ง ไฟเลี้ยว/ไฟฉุกเฉิน/ไฟเบรก build-in อยู่ภายใต้โคมไฟท้ายเดียวกัน
เครื่องยนต์
ตอบโจทย์ความต้องการแก่ผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบความนุ่มนวล ด้วยเครื่องยนต์ LSP (Lambretta Super Performance) ขนาด 184.7 ซีซี 1 สูบ 4 จังหวะ 4 วาล์ว จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยเทคโนโลยีหัวฉีด, ระบายความร้อนด้วยน้ำ มอบพละกำลังสูงสุด 18.3 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.5 นิวตันเมตร ที่ 6,750 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ CVT ขับเคลื่อนด้วยสายพาน ทำความเร็วยืนพื้นช่วง 110 กม./ชม. ได้แบบสบายๆ
ทดลองขับ Lambretta X200
ในส่วนของการทดสอบขับขี่ เราทำการทดสอบขับขี่ในเมืองเป็นหลัก เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของรถว่าใช้งานจริงเป็นอย่างไร สิ่งที่สัมผัสได้นั่นคือเรื่องของลักษณะการทำงานของเครื่องยนต์ที่มีความนุ่มนวลสูงในทุกย่านความเร็ว ตั้งแต่ออกตัวไปจนถึงความเร็วปลาย มอบอัตราเร่งที่นุ่มนวล ไม่มีอาการพุ่งหรือกระชากออกมาให้เห็น ส่งผลให้การขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น ทำได้อย่างง่ายดาย
โดยเฉพาะจังหวะที่เราหักแฮนด์รถจนสุด และเปิดคันเร่งต่อ ด้วยความนุ่มนวลของเครื่องยนต์ ทำให้ไม่มีอาการพุ่งออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าใครชอบขับรถนุ่มๆ ไปเรื่อยๆ ตัวนี้ตอบโจทย์มาก
ชุดช่วงล่าง ให้มาจัดเต็มเหมือนกับรุ่นพี่ทุกประการ ซับแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยม และยังมอบความนุ่มนวลที่เพียงพอกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ส่วนระบบเบรกถือว่าทำมาได้ดี ระยะเบรกสั้น มั่นใจได้
การควบคุมรถยังคงทำได้เป็นอย่างดี ด้วยจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทำให้เราสามารถพารถคันนี้ลัดเลาะไปยังเส้นทางต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
Lambretta X200 2024 เหมาะกับใคร
โดยสรุปแล้ว เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหารถสกู๊ตเตอร์ทรงพรีเมี่ยมคลาสสิกที่เน้นเรื่องความนุ่มนวลในการขับขี่ โดยเฉพาะมือใหม่ที่กำลังมองหารถมอเตอร์ไซค์สักคันที่ต้องได้ทั้งเรื่องของการใช้งานและรูปลักษณ์ที่สวยงาม รถคันนี้ตอบโจทย์ กับราคาจำหน่ายที่ 134,900 บาท มาพร้อมกับการรับประกันคุณภาพยาวนาน 3 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร